วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

โครงสร้างระบบคอมพิวเตอร์ และโครงสร้างของระบบปฏิบัติการ


ใบงานที่ 9
โครงสร้างระบบคอมพิวเตอร์ และโครงสร้างของระบบปฏิบัติการ

1.การขัดจังหวะ หรือการอินเตอร์รัปต์ หมายถึงอะไร จงอธิบาย

2.จงเปรียบเทียบการอินเตอร์รัปต์ กับการดำเนินชีวิตของมนุษย์โดยทั่วไป ว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร
      =การติดต่อเพื่อรับส่งข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ก็เหมือนกันกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ในแต่ละวัน มนุษย์จะติดต่อสื่อสารกันในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น ติดต่อกันเพื่อทำการค้าขาย พูดคุยกัน อย่างนี้เป็นต้น

3.สาเหตุที่การป้องกันฮาร์ดแวร์ มีบทบาทสำคัญต่อระบบปฏิบัติการที่รองรับหลายๆ งาน อยากทราบว่าเป็นเพราะอะไร จงอธิบาย
=เพื่อป้องกันการเรียกใช้อุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลแบบผิด ๆ หรืออ้างอิงตำแหน่งในหน่วยความจำที่อยู่ในส่วนของระบบปฏิบัติการ หรือไม่คืน การควบคุมซีพียูให้ระบบซึ่งมีการกำหนดว่าคำสั่งเรียกใช้อุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลเป็นคำสั่งสงวน (Privileged Instruction) ผู้ใช้ไม่สามารถเรียกใช้อุปกรณ์เองได้ ต้องให้ระบบปฏิบัติการเป็นผู้จัดการให้

4.จงเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างโหมดการทำงานของผู้ใช้ กับโหมดการทำงานของระบบมาให้พอเข้าใจ
=ผู้ใช้ก็จะทำงานเหมือนกับคอมพิวเตอร์ เราจะรับข้อมูลจาก ตา หู จมูก ปาก แล้วก็สมองจะทำการประมวลผลสิ่งที่เราดู ได้ยิน ได้กลิ่น หรือรับรส แล้วก็จะแสดงจากทางอาการหรือคำพูด ก็เหมือนคอมพิวเตอร์ที่รับข้อมูลจากเมาส์ คีย์บอร์ด แล้ว CPU ก็ทำการประมวลผล จากนั้นก็แสดงผลในรูปของเสียงหรือภาพ

5.ระบบปฏิบัติการจะมีการป้องกันอินพุต และเอาท์พุตอย่างไร จงอธิบาย
      =กลไกในการอ้างอิงหน่วยความจำหลัก ป้องกันกระบวนการให้ใช้หน่วยความจำหลักได้แต่ในส่วนของกระบวนการนั้นเท่านั้น เช่น การไม่อนุญาตให้ผู้ใช้ระบบทำการรับส่งข้อมูลเองโดยตรง เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการใช้งานของอุปกรณ์รับส่งข้อมูล

6.ระบบปฏิบัติการจะมีการป้องกันหน่วยความจำอย่างไร จงอธิบาย
      =กลไกในการอ้างอิงหน่วยความจำหลัก ป้องกันกระบวนการให้ใช้หน่วยความจำหลักได้แต่ในส่วนของกระบวนการนั้นเท่านั้น

7.ระบบปฏิบัติการจะมีการป้องกันซีพียูอย่างไร จงอธิบาย
=ระบบต้องมีการป้องกัน ความผิดพลาดที่เกิดจากกระบวนการหนึ่งไปกระทบอีกกระบวนการหนึ่ง โดยสร้างกลไกบางอย่างเพื่อป้องกันแฟ้มข้อมูล, หน่วยความจำส่วนหนึ่งหรือหน่วยประมวลผลกลาง




8.โครงสร้างของระบบปฏิบัติการประกอบด้วยกี่ส่วน อะไรบ้าง
=ระบบปฏิบัติการประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
1. เคอร์เนล (Kernel) หมายถึง ส่วนกลางของระบบปฏิบัติการ ซึ่งเป็นส่วนแรกที่ถูกเรียกมาใช้งาน และจะฝังตัวอยู่ในหน่วยความจำหลักของระบบ ดังนั้นเคอร์เนลจึงต้องมีขนาดเล็ก โดยเคอร์เนลจะมีหน้าที่ในการติดต่อ และควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ และโปรแกรมใช้งาน (Application Programs)
2.โปรแกรมระบบ (System Programs) คือ ส่วนของโปรแกรมการทำงานของระบบปฏิบัติการ ซึ่งมีหน้าที่ติดต่อกับผู้ใช้ และผู้จัดการระบบ เช่น Administrator

9.ในการจัดการกับโปรเซส ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=การจัดการงานที่เราจะทำการประมวลผล ไม่ว่าจะเป็นการประมวลผลแบบการแบ่งเวลา หรืออื่นๆ โดยแต่ละโปรเซสจะมีการกำหนดการใช้ทรัพยากรที่แน่นอน

10.ในการจัดการกับหน่วยความจำ ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=การจัดการหน่วยความจำจัดเป็นหน้าที่หนึ่งของระบบปฏิบัติการ หน่วยความจำนี้เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการพิจารณาขีดความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วย  กล่าวคือถ้าหากคอมพิวเตอร์มีความจำมาก  นั้นหมายถึงขีดความสามารถในการทำงานก็จะเพิ่มขึ้นโปรแกรมที่มีสลับซับซ้อนและมีสมรรถนะสูง มักจะเป็นโปรแกรมที่ต้องการหน่วยความจำสูง แต่ก็เป็นที่ทราบแล้วว่าหน่วยความจำมีราคาแพง ดังนั้นระบบปฏิบัติการที่ดีจะต้องมีการจัดการหน่วยความจำที่มีอยู่จำกัด ให้สามารถรองรับงานต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้หน่วยความจำจำนวนมากได้

11.ในการจัดการกับแฟ้มข้อมูล ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=เป็นการทำงานของระบบปฏิบัติการโดยทำหน้าที่ในการโอนถ่ายข้อมูลลงไปจัดเก็บในอุปกรณ์บันทึกข้อมูล

12.ในการจัดการกับอุปกรณ์อินพุต/เอาต์พุต ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=ระบบปฏิบัติการมีหน้าที่ในการรับข้อมูล และแสดงข้อมูลผ่านทางอุปกรณ์ต่างๆ โดยข้อมูลที่ส่งไปยังอุปกรณ์เหล่านี้ จะผ่านสายส่งข้อมูล

13.ในการจัดการกับหน่วยความจำสำรอง เช่น ดิสก์ ระบบปฏิบัติการจะมีกิจกรรมใดบ้างที่ต้องรับผิดชอบ
=ระบบปฏิบัติการทำหน้าที่โอนถ่ายข้อมูลไปจัดเก็บในอุปกรณ์บันทึกข้อมูล

14.จงสรุปงานบริการของระบบปฏิบัติการมาพอเข้าใจ
=ระบบปฏิบัติการจะเป็นเหมือนตัวกลางที่เชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์กับผู้ใช้งาน จะรับข้อมูลทางเมาส์หรือคีย์บอร์ด จากนั้นจะส่งไปยัง CPU เพื่อให้ประมวลผลออกมา แสดงผลจะอยู่ในรูปของเสียงหรือภาพ

15.ในการติดต่อระหว่างโปรเซสกับระบบปฏิบัติการ จะเกี่ยวข้องกับกลุ่มงานใดบ้าง จงอธิบาย
=สถานะของโปรเซส (Process Status)ก็จะมี  สถานะเริ่มต้น (New Status) ,สถานะพร้อม (Ready Status) ,สถานะรัน (Running Status),สถานะรอ (Wait Status),สถานะบล็อก (Block Status)และสถานะสิ้นสุด (Terminate Status)

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การนำเสนอปัญหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์


23 วิธีเร่งสปีด (แก้ไขปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ช้า)

1. ลดเวลาการ boot เครื่อง และเพิ่มประสิทธิภาพ โดยอย่าเอาเงินไปละลายกับ software ที่ช่วย defrag เนื่องจาก defrag ของ windows นั้นใช้งานได้ดีอยู่แล้ว เอาเงินไปซื้อ HD Ultra-133 หรือ SATA ที่มี cache 8 MB จะดีกว่า

2. ถ้า RAM น้อยกว่า 512 ก็ซื้อมาเพิ่มซะ นี่เป็นวิธีที่ไม่แพงและสามารถ upgrade ได้ง่าย ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องได้อย่างชัดเจน

3. ใช้ file system แบบ NTFS : หากคุณไม่รู้ว่ามันเป็น NTFS อยู่แล้วรึยัง ให้ double clcik ที่ my computer icon, คลิกขวาที่ drive C เลือก properties แล้วดูตรง File System type ถ้ามันเป็น FAT 32 อยู่ ก็ back-up ข้อมูลซะ จากนั้นเลือก Start Menu -> Run พิมพ์ cmd แล้วคลิก OK พอมีหน้าต่าง prompt ขึ้นมา ให้พิมพ์ convert c: /fs:ntfs แล้วกด enter โดยขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาสักหน่อย ต้องแน่ใจด้วยว่าไม่มีอะไรรบกวน com คุณระหว่างที่มันทำงานอยู่ และเครื่องคุณต้องไม่ติดไวรัส File System ของ drive ที่คุณใช้ boot นั้น อาจเป็น FAT32 หรือ NTFS ก็ได้ แต่เราแนะนำให้ใช้ NTFS เพื่อประโยชน์ในเรื่องของความปลอดภัย, ความน่าเชื่อถือ และการใช้งาน hd ใหญ่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4. Disable file indexing ซะ เจ้า indexing service นี้จะดึงข้อมูลจากเอกสารและไฟล์บน hard drive ของคุณเอามาสร้างเป็นดรรชนีสำหรับค้นหา ซึ่งการทำเช่นนี้มันอาจจะทำให้เครื่องคุณทำงานหนักขึ้น แนวคิดของมันคือ ผู้ใช้งานสามารถค้นหาคำ, วลี, หรือคุณสมบัติภายในเอกสารใดๆ ได้ ในกรณีที่เขามีไฟล์เอกสารเป็นร้อยหรือเป็นพัน และไม่รู้ชื่อเอกสารที่เขาต้องการค้นหา แต่โปรแกรม search ที่ติดมากับ Windows XP นั้นก็สามารถทำแบบนี้ได้อยู่แล้วโดยไม่ต้องใช้ indexing service แค่มันจะใช้เวลานานกว่าเท่านั้น เนื่องจาก OS ต้องเปิดไฟล์ขึ้นมาทีละไฟล์เพื่อค้นหาสิ่งที่ user ต้องการ คนส่วนใหญ่ไม่เคยต้องการ feature search แบบนี้หรอก คนที่ต้องการจะเป็นพวกที่อยู่ในองค์กรใหญ่ที่มีเอกสารเป็นพันๆ ซึ่งอยุ่บน server อย่างน้อย 1 ตัว แต่หากคุณเป็นพวกวางระบบธรรมดาๆ แล้ว ลูกค้าของคุณมักจะเป็นธุรกิจขนาดกลางหรือเล็กเสียมากกว่า และถ้าลูกค้าของคุณไม่ได้ต้องการ feature แบบนี้ เราแนะนำให้คุณ disable มันซะจะดีกว่า วิธีทำ: double click My Computer -> คลิกขวาที่ drive C -> เลือก properties แล้วยกเลิก "Allow Indexing Service to index this disk for fast file searching." ซะ -> Apply change ให้กับ "C: subfolders and files," -> OK และถ้ามี error message เช่น "Access is denied" ปรากฏขึ้นมา ก็ให้เลือก Ignore All ซะ

5. Update driver ให้กับ VGA และ Chipset ของ Mainboard และ config ค่าต่างๆ ใน BIOS ใหม่ โดยวิธี config BIOS อย่างถูกต้องนั้น หาอ่านได้จากบทความใน site ของผมเองครับ (..เจ้าของกระทู้เอามาจากเว็บไหนครับ?)

6. สั่ง Empty Windows Prefetch folder ทุกๆ 3 เดือน Windows XP สามารถคะเนได้ว่า data ส่วนไหนที่มันใช้บ่อยๆ มันจะดึงมาเก็บเตรียมไว้ใน prefetch folder ทำให้ process หลายๆ ตัวดูเหมือนจะทำงานได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็น feature ที่ดี แต่พอนานๆ เข้า เจ้า prefetch folder นี้จะมีข้อมูลมากเกินไป โดยที่บางส่วนไม่จำเป็นต้องใช้งานอีกต่อไป ซึ่งจะทำให้ Windows เสียเวลาดึงมันขึ้นมาทำงานมากเกินความจำเป็นและทำให้ประสิทธิภาพต่ำลง ไม่มีข้อมูลสำคัญเก็บอยู่ใน folder นี้ ดังนั้นคุณสามารถลบ file ใน folder นี้ได้ทั้งหมด

7. ใช้ disk cleanup ทุกเดือน โดย double click ที่ My Computer -> คลิกขวาที่ drive C -> เลือก properties -> กดปุ่ม Disk Cleanup ที่อยู่ทางขวาของกราฟวงกลม และเลือกลบ temporary file ทั้งหมด

8. ที่ Device Manger -> double click ที่อุปกรณ์ IDE ATA/ATAPI Controllers และดูว่ามีการใช้งาน DMA กับทุก drive ที่ติดต่ออยู่กับ Primary และ Secondary Controller หรือไม่ โดยการ double click ที่ Primary IDE Channel -> เลือก tab Advanced Settings และตรวจสอบว่า Transfer Mode ถูก set เป็น "DMA if Available" ทั้ง Device 0 และ Device 1 หรือไม่ และทำอย่างเดียวกันกับ Secondary IDE Channel

9. เปลี่ยนสาย cable เทคโนโลยีของ hard disk พัฒนาขึ้น ทำให้จำเป็นต้องใช้สาย cable ที่จะดึงประสิทธิภาพมันออกมาได้ ตรวจสอบว่าคุณใช้ cable แบบ Ultra-133 (80 สาย) กับอุปกรณ์ IDE ทุกตัว ถ้าสายนั้นต่อกับอุปกรณ์ชิ้นเดียว อุปกรณ์นั้นต้องต่ออยู่กับ connector ที่ปลายสาย หากต่อกับ connector ตรงกลางสาย จะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณ ซึ่งสำหรับ hard disk แบบ Ultra DMA แล้ว ปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณนี้จะมีผลให้ drive ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งสายเหล่านี้ support feature "Cable Select" ตำแหน่งของอุปกรณ์บน cable จึงมีความสำคัญ (ใครแปลได้เข้าใจกว่านี้ไหมครับ)

10. กำจัด spyware ออกให้หมด โดยใช้ freeware เช่น AdAware ของ LavaSoft หรือ SpyBot Search & Destroy โดยเมื่อคุณ install โปรแกรมพวกนี้แล้ว ให้ download update ล่าสุดของมันลงมาที่เครื่องคุณ ก่อนที่จะเริ่ม scan และสิ่งใดที่โปรแกรมหาพบนั้น สามารถลบออกได้อย่างปลอดภัยทั้งสิ้น แต่ freeware ที่ require ว่า spyware เหล่านี้จะต้องมีอยู่จะไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไปหากส่วนหนึ่งส่วนใดของ spyware ถูกลบออกไป แต่ถ้าลูกค้าของคุณต้องการใช้โปรแกรมใดโปรแกรมหนึ่งจริงๆ โดยไม่สนใจว่ามันจะมี spyware ติดมาด้วยหรือไม่ คุณก็คงต้องลงโปรแกรมนั้นให้เขาใหม่ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลบ spyware ให้ดูที่หน้า Web Pro News (เว็บไหนล่ะเนี่ย)

11. เอาโปรแกรมที่ไม่จำเป็นออกจาก Startup ด้วย MSCONFIG โดยเลือก Start -> Run -> พิมพ์ msconfig -> คลิก ok -> เลือก tab StartUp และคลิกเลือก item ที่คุณไม่ต้องการให้ load ตอน startup ออกเสีย หากคุณไม่แน่ใจว่าแต่ละตัวมันคืออะไร ให้เข้าไปดูที่ WinTasks Process Library (มี link รึเปล่าครับ ตัวนี้?) มันจะมีข้อมูลเกี่ยวกับ system process และโปรแกรมที่พบกันบ่อยๆ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับ spyware และคำอธิบาย หรืออาจจะหาข้อมูลของมันอย่างรวดเร็วโดย search ชื่อไฟล์นั้นๆ ใน search engine อย่าง google เลย

12. เอาโปรแกรมที่ไม่จำเป็นออก ด้วย Add/Remove Programs ใน Control Panel

13. ยกเลิกการใช้งาน Active Desktop และ animation ทุกชนิดเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด โดย double click icon System ใน control panel -> เลือก tab Advanced -> กดปุ่ม settings ในส่วนของ Performance โดยคุณสามารถทดลองปรับอะไรเล่นๆ ที่นี่ได้ทั้งหมดเนื่องจากมันไม่มีผลกระทบกับเสถียภาพของเครื่องคุณ ยกเว้นเรื่องความไวของการตอบสนอง

14. ถ้าคุณเป็นพวก advanced user ที่ไม่กลัวการแก้ไข registry ให้ลองใช้งานโปรแกรม Tweak XP ในส่วนของ performance registry tweak

15. แวะไปที่ Windows Update ของ MS บ้าง และ download update ที่ระบุว่า "Critical" มาลงที่เครื่อง ส่วน update อื่นๆ นั้นก็ตามแต่คุณเห็นสมควร

16. update Anti-Virus ทุกสัปดาห์หรือทุกวัน โดยลงโปรแกรม anti-virus แค่ตัวเดียวเท่านั้น การลง anti-virus หลายตัวมีผลอย่างรุนแรงกับประสิทธิภาพและเสถียรภาพของเครื่องคุณ

17. ตรวจสอบว่ามี font น้อยกว่า 500 ตัวบนเครื่องคุณ ยิ่งคุณลง font เยอะ windows คุณก็ยิ่งช้า แม้ว่า Xp จะจัดการ font ได้ดีกว่า OS version ก่อนๆ แต่ font ที่มีจำนวนมากกว่า 500 จะทำให้ประสิทธิภาพเครื่องคุณลดลงอย่างชัดเจน

18. อย่าแบ่ง partiton เพราะว่า NTFS ของ Windows XP ทำงานได้ดีกว่าบน partition ขนาดใหญ่เพียง partition เดียว การแบ่ง partition ไม่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับข้อมูลของคุณ และการ format ใหม่ก็ไม่จำเป็นเสมอไปหากคุณต้องการ reinstall OS การแบ่ง partition สามารถทดแทนได้ด้วยการใช้ folder เช่น แทนที่คุณจะเก็บ data ไว้ใน drive D คุณก็สร้าง folder 'D drive" ขึ้นมาแทน ซึ่งมันได้ประโยชน์เช่นเดียวกับการแบ่ง partition แต่มีข้อดีกว่าคือไม่ทำให้ประสิทธิภาพของระบบลดลง และทำให้พื้นที่ว่างไม่ถูกจำกัดด้วยขนาดของ partition อีกต่อไป (แต่ถูกจำกัดด้วยขนาดของ hard disk ของคุณแทน) หมายความว่า คุณไม่จำเป็นต้อง resize partition อีกต่อไป ซึ่งเป็นการเสียเวลาและเสี่ยงกับข้อมูลหายด้วย

19. ตรวจสอบ RAM ว่าทำงานอย่างถูกต้อง เราแนะนำให้ใช้โปรแกรม MemTest86 โดยหลังจาก d/l มาแล้ว มันจะสร้างแผ่น CD หรือ diskette ที่ boot ได้ (แล้วแต่คุณจะเลือก) ที่จะทำการทดสอบ 10 อย่างโดยอัตโนมัติหลังจากที่คุณใช้มัน boot เครื่อง ให้ run มันอย่างน้อยสามครั้ง (ครั้งละ 10 test) ถ้าโปรแกรมพบ error ให้คุณปิดเครื่อง, ถอดปลั๊ก, ถอด RAM ออกแผงหนึ่ง (ถ้าคุณมีมากกว่าแผงเดียว) แล้วทำการ run ใหม่อีกครั้ง จำไว้ว่า RAM เสียนั้นซ่อมไม่ได้ ต้องเปลี่ยนใหม่เท่านั้น

20. ถ้าเครื่องคุณมี CD หรือ DVD writer ให้เช็ค web ของผู้ผลิตว่ามี firmware ให้ update หรือไม่ บางทีคุณอาจจะสามารถ upgrade writer ของคุณให้ทำงานเร็วขึ้นได้ และที่เยี่ยมที่สุดคือ วิธีนี้ไม่เสียค่าใช้จ่ายครับ

21. ยกเลิกการใช้งาน service ที่ไม่จำเป็น Windows XP จะ load service ขึ้นมาทำงานเป็นจำนวนมาก โดยหลายๆ ตัวนั้นคุณไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ให้ตรวจสอบว่า service ใดที่คุณสามารถ disable ได้จาก Black Viper site for Windows XP configurations (ไม่มี link อีกแล้วอ่ะ)

22. ถ้าคุณเจอปัญหา Windows Explorer ตัวหนึ่ง hang และทำให้ระบบคุณพลอยพังไปด้วย ให้ใช้วิธีนี้ เปิด My Computer -> เลือก menu Tools -> Folder Options -> เลือก tab View -> เลื่อนลงมาด้านล่างจนพบ "Launch folder windows in a separate process" ให้ enable option ตัวนี้ซะ แล้ว reboot

23. เปิด case ของคุณออกอย่างน้อยปีละครั้ง แล้วเป่าเอาฝุ่นออก รวมถึงตรวจสอบว่าพัดลมทุกตัวยังทำงานเป็นปกติ และสังเกตดูที่ตัว capacitor แต่ละตัวบน mainboard ด้วยว่ามีอาการบวมหรือรั่ว




ปัญหา Power Supply จ่ายไฟไม่เพียงพอ


อาการ


เปิดติดแต่ไม่บู๊ต

หมายถึงเปิดแล้ว พัดลมของ เพาเวอร์ซัพพลาย หมุน แต่เครื่องไม่บู๊ต เป็นไปได้ว่า เพาเวอร์ซัพพลาย ไม่สามารถจ่ายไฟให้คอมพิวเตอร์ หรือจ่ายไฟได้ไม่พอ กรณีนี้ เพาเวอร์ซัพพลาย อาจจะไม่เสีย แต่จ่ายไฟได้ไม่พอกับกำลังที่คอมพิวเตอร์ต้องการ



อุปกรณ์บางตัวในคอมพิวเตอร์ไม่ทำงาน

อุปกรณ์บางตัวไม่ทำงาน เช่น ฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอม การ์ดจอ ไม่ทำงาน สาเหตุอาจเกิดจาก เพาเวอร์ซัพพลาย ไม่จ่ายไฟให้อุปกรณ์เหล่านั้นก็ได้ ตรวจสอบให้ก่อน อุปกรณ์อาจไม่เสีย แต่ที่เสียคือ เพาเวอร์ซัพพลาย



คอมดับพอเปิดสักพักก็ดับ พอเปิดอีกก็ดับไม่ได้ต้องถอดปลั๊กออก...แล้วเสียบใหม่ก็เปิดได้..แต่ก็ดับ

ตามหลักการ เมื่อระบบเริ่มทำงาน ระบบระบายความร้อน ยังไม่ทำงานเต็มระบบนัก จึงยังคงใช้พลังงานไฟฟ้าไม่มาก ต่อเมื่อทำงานไปได้สักระยะหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ.

1. ความร้อนสะสมที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวแปรที่ทำให้ระบบ สั่งงานให้พัดลมระบายความร้อน ทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะ ชุดระบายความร้อนของ CPU , การ์ดจอภาพ ( ถ้ามี ) ในชุด Power Supplyเอง ดังนั้นต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น เมื่อกระแสไฟฟ้าถูกดึงไปใช้ในการระบายความร้อน และ กำลังไฟที่เหลือไม่เพียงพอต่อการจ่ายให้กับอุปกรณ์อื่น เช่น Mainboard เป็นต้น.

2. ความร้อนสะสมที่เกิดขึ้นไม่สามารถระบายออกไปได้ทัน เนื่องจากระบบระบายความร้อนด้อยประสิทธิภาพ หรือ ไม่มีระบบระบายความร้อนที่พอเพียง ระบบจะป้องกันตัวเอง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อระบบ โดยการหยุดการทำงาน หรือ ตัดการจ่ายไฟเข้าระบบ

ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ระบบจะหยุดการทำงาน มักจะเกิดอาการ Hang หรือ เครื่องดับไปเฉยๆ โดยที่ หลอดไฟ LED ที่แสดงสถานะไฟฟ้า หน้าเครื่อง ยังติดสว่างอยู่ หรือ ดับไป แต่ หลอดไฟLED ที่แสดงสถานะ Standby บน Mainboard ยังคงติดสว่างอยู่

ส่วนสาเหตุอื่นที่พิจารณาเป็นลำดับถัดๆ ไป คือ มีอุปกรณ์ในระบบเกิดอาการชำรุดเสียหาย เช่นMainboard ไหม้เนื่องจากไฟเกิน , Ram เสีย หรือ เกิดสนิม , Disk Drive หรือ Optical Drive อาจมีการชำรุดเสียหายส่งผลต่อระบบ การ์ดอื่นๆ อาจเกิดการชำรุดเสียหาย หรือ ท้ายที่สุดเกิดปัญหาจาก Software เป็นปัญหาได้.

ฝากข้อคิดให้กับท่านที่จะเลือกซื้อ power supply ดังนี้


          ๑. อย่าดูแค่ว่ากี่วัตต์ ดูให้ดี ๆ ว่าแผง 12v นะจ่ายกระแสพอไหม อุปกรณ์รุ่นใหม่ ๆ มักกินไฟหนักที่ไฟตรงนี้ แนะนำว่ารวมกันประมาณ 25A ขึ้นไปเป็นอย่างน้อย
          ๒. เล็งให้ดีว่าเครื่องของคุณเป็นแบบ 20 pin เข้า mainboard 4 pin เข้า CPU หรือเปล่า แล้วมาดูว่าเจ้า power supply เขาออกแบบมาให้เสียบได้ แบบนั้นไหม ถ้าไม่ตรงกันมันแยกออกมา หรือมีสายอีกชุดที่ีเสียบเข้าได้พอดีหรือเปล่า
          ๓. ถ้าต้องการชัวร์ ๆ อยากได้ของดีแน่ ๆ ให้เลือกจากยี่ห้อดังต่อไปนี้ Corsair, Enermax, SeaSonic, Power PC & Cooling, Silverstone, Tagan, FSP และ BFG tech ส่วน CoolMAX, Antec และ OCZ นั้นใช้ได้แต่ต้องดูเป็นรุ่น ๆ ไป ส่วนท่านที่แค่จะเน้นถูกและดี(สมราคา)นั้น ยี่ห้อDelta ทำในไทยนั้นทนทาน ใช้ได้เลย
          ๔. รุ่นที่ดีนั้นจะมี active PFC (Power Factor correction) ทำให้ประหยัดไฟขึ้น
          ๕. เลข 80 ที่อยู่ในกรอบข้างกล่องหมายถึงว่า รุ่นนั้นเขามีประสิทธิภาพสูงเกิน 80เปอร์เซ็นต์ จะประหยัดไฟกว่ารุ่นธรรมดา

          ๖. Watt มาก ๆ ไม่ได้หมายความว่าจะกินไฟมากกว่า เป็นสเปคที่บอกว่าจ่ายไฟได้สูงสุดเท่าไหร่เท่านั้น

          ๗. power supply มักจะออกแบบมาให้จ่ายไฟได้มีประสิทธิภาพสูงสุดประมาณครึ่งหนึ่งของ rated watt เช่นรุ่น 500 Watt ก็จะไปทำงานได้ดีที่สุดช่วง 200-300 watt





เพาเวอร์ซัพพลาย : กี่วัตต์จึงจะพอ

มักจะมีคำถามว่า ควรใช้ เพาเวอร์ซัพพลายกี่วัตต์จึงจะพอ

ส่วนใหญ่ผู้ขายมักจะแนะนำให้ซื้อรุ่นที่มีวัตต์มาก ๆ เข้าไว้ เพื่อป้องกันปัญหาวัตต์ไม่พอ ถ้าเป็น เพาเวอร์ซัพลาย ยี่ห้อธรรมดา ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็น เพาเวอร์ซัพพลาย ยี่ห้อดี ๆ ราคาก็จะต่างกันมาก แม้จะมีวัตต์ต่างกันเพียง 50 วัตต์

เมื่อตัดสินใจที่จะใช้ เพาเวอร์ซัพพลาย ยี่ห้อดี ๆ แล้ว ก็ควรมีความรู้ในการคำนวณหาความต้องการวัตต์ที่แท้จริงของพีซี ว่าต้องการใช้ เพาเวอร์ซัพพลาย กี่วัตต์กันแน่ จะได้ประหยัดเงินเอาไว้ซื้ออุปกรณ์อย่างอื่นที่จำเป็นจะดีกว่า



อย่างไรก็ตาม หากเครื่องคอมพิวเตอร์ มีกำลังวัตต์ไม่เพียง ก็จะเป็นสาเหตุให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีอาการรวน ต่าง ๆ เช่น เครื่องค้าง (Hang) หน้าจอขึ้นสีฟ้า หรือมีอาการวูบดับไปเฉย ๆ เป็นต้น จึงต้องคำนวณหาจำนวนวัตต์ที่เพียงพอด้วย

ลองดูตารางต่อไปนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการคำนวณหาความต้องการวัตต์ของเครื่องคอมพิวเตอร์





อุปกรณ์

กำลังวัตต์ที่ใช้

CPU Pentium4 3.0 GHz

115

Mother board

25

Hard disk 120 GB SATA

30

CD-RW DVD ROM drive

30

RAM DDR400 1GB

10

Floppy disk drive

5

AGP Card

30

USB Device

3

Keyboard

1.25

Mouse

1.25

Cooling Fan

2

รวม

252.5



ตามตารางข้างบน จะเห็นว่าใช้ เพาเวอร์ซัพพลาย ขนาด 300 W ก็น่าจะเพียงพอ แต่ถ้าใช้ฮาร์ดดิสก์ ตัว ซึ่งกินไฟ 30W รวมเป็น 282.5W ซึ่งใกล้กับ 300W ก็น่าจะใช้ เพาเวอร์ซัพพลาย ขนาด 350W จึงจะปลอดภัยที่สุด เพราะอุปกรณ์แต่ละชิ้นแต่ละรุ่นก็กินไฟต่างกัน ตารางข้างบนเป็นค่าประมาณเท่านั้น



เลือกกำลังไฟที่เพียงพอต่อคอมพิวเตอร์ 
ดูจากฉลากด้านข้างตัวอุปกรณ์ซึ่ง Power Supply รุ่นใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะระบุมาอย่างชัดเจน ด้วยกำลังไฟที่จ่ายได้ต่ำสุด-สูงสุด รวมถึงไฟเลี้ยงและค่าต้านทานที่เหมาะสมโดยที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปจะอยู่ที่ ประมาณ 350-500 วัตต์ แต่ถ้าเป็นกลุ่มเกมเมอร์ก็จะสูงขึ้นไปอีกด้วยคือ 500-750 วัตต์ ยิ่งถ้าเป็นเกมการ์ดแบบคู่ไม่ว่าจะเป็น SLI หรือ CrossFire ซึ่งการ์ดแต่ละตัวต้องใช้ไฟเลี้ยงเพิ่มเติมด้วยแล้ว อาจต้องก้าวไปถึง 700 วัตต์ เลยทีเดียว มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ต่อพ่วงภายในด้วยเช่นกัน หากสงสัยวาคอมพิวเตอร์ของตนที่ใช้อยู่หรือกำลังจะซื้อ ต้องใช้ Power Supply ขนาดไหน สามารถเข้าไปคำนวณการใช้พลังงานของเครื่อง เพื่อใช้ในการเลือกซื้อเพาเวอร์ซัพพลายได้ง่ายๆ โดยมีเว็บไซต์หลายที่ให้บริการคำนวณ เช่น  การใช้งานเพียงกรอกรายละเอียดอุปกรณ์ที่ใช้ลงไปก็จะคำนวณการใช้งานออกมาให้ทันที

ข้อแนะนำ : เมื่อคุณเปลี่ยน Mainboard เป็นรุ่นใหม่ซึ่งต้องใช้ 24 Pin Power Supply จะเป็นMainboard รุ่นใหม่ สำหรับ CPU รุ่นใหม่ เช่น Intel socket 775 ซึ่งจะใช้กำลังไฟสูง ดังนั้น Power Supply เก่าที่คุณมีอยู่ใช้งานมานานกำลังไฟที่จ่ายออกมาได้อาจจ่ายไฟไม่เพียงพอ ก็จะทำให้เครื่อง รวน หรือ แฮงค์ ซึ่งจะเป็นปัญหาให้คุณแก้ไขต่อไป ทางที่ดี ควรเปลี่ยน Power Supplyใหม่ เป็นรุ่น 24 Pin และ สามารถจ่ายกำลังไฟได้สูงพอสมควร ( ควรจะเกิน 400 Watt ขึ้นไป ซึ่งโดยปกติจะเป็นค่าการจ่ายกำลังไฟโดยการคำนวณสูงสุด แต่โดยธรรมชาติของตัว Power Supplyแบบนี้ มักจะจ่ายกำลังไฟจริงไม่เต็มตามที่ระบุไว้ในรุ่นส่วนมากจะจ่ายกำลังไฟได้จริงประมาณ 50 - 70 % ของตัวเลขที่ระบุไว้บนแถบแสดงคุณสมบัติของ Power Supply นั้นๆ  ) โดยปกติ ราคาทั่วๆ ไปก็จะมีระดับราคาประมาณ 5 - 600 บาท ขึ้นไปจนถึงกว่า 1,000 บาท ต้นๆ ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้วครับ.. 

·         แต่หากคุณมีอุปกรณ์ที่อยู่ในเครื่องจำนวนมาก และ ต้องการกำลังไฟสูง และ เสถียรมากๆ เช่น นำไปทำเป็น PC Server , Workgroup Server เป็นต้น ควรใช้ Power Supplyที่มีเสถียรภาพดีๆ เช่น ยี่ห้อ Enermax หรือ SevenTeam ซึ่งขนาด 250 - 300 Watt จะมีราคาประมาณ 1,800 - 2,000บาทขึ้นไป ตามกำลังที่จ่ายไฟได้และตามคุณภาพที่มีในรุ่นนั้นๆ ( Power Supply สองยี่ห้อนี้ จะมีคุณภาพสูง กำลังการจ่ายพลังงานไฟฟ้าเต็มตามที่ระบุไว้ตามขนาดเสมอ)

·         โดยปกติ เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า โดยทั่วๆ ไปมักจะต้องการกำลังไฟในการทำงานอยู่ที่ประมาณ 135 - 250 Watt ส่วนคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ มักต้องการกำลังไฟประมาณ 250 - 380 Watt ครับ. หากมีอุปกรณ์พิเศษอื่นเพิ่มเติม เช่น Harddisk ที่มากกว่า ตัว , Optical Drive ที่มากกว่า ตัว การ์ดแสดงผล ( Display Card ) ที่มี GPU รุ่นใหม่ใช้กำลังไฟสูง มีชุดระบายความร้อนเฉพาะตัว เป็นต้น ก็ต้องจัดหา Power Supply ที่สามารถจ่ายกำลังไฟสูงขึ้น เพื่อจ่ายกำลังไฟให้เครื่องสามารถทำงานได้

·         หลักการเลือก Power Supply มาใช้งาน ควรเลือกเผื่อกำลังไฟในเครื่องที่ต้องการใช้ สัก30 % หมายถึง กำลังไฟที่จะใช้ในเครื่องควรจะเป็น 70 % ของกำลังไฟที่ Power Supplyที่เลือกมาใช้ครับ. เนื่องจากเมื่อระยะเวลาการใช้งานผ่านไป ขีดความสามารถในการทำงานของ Power Supply จะลดลง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพของ Power Supply ที่เลือกใช้ด้วยครับ ถ้าเป็นเลือกที่ราคาถูก อัตราการลดกำลังก็จะสูงกว่า  รุ่นที่ราคาสูง จะมีความถดถอยในการจ่ายกำลังไฟที่น้อยกว่า ซึ่งหมายถึงมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่านั่นเอง

สมาชิกในกลุ่ม
นางสาวสายธาร บุญพา
นางสาวระย้า บุญสุภาพ
นางสาวพัชรินทร์ วงษ์จันทร์